เรื่องพฤติกรรมในการทำงานของคน Gen Y เป็นเรื่องที่ถูกพูดถึงมาสักพักแล้ว เพราะในช่วงนี้วัยทำงานส่วนใหญ่เป็นคน Gen Y ซึ่งความแตกต่างของ Generation ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนในองค์กรไม่เข้าใจกันและส่งผลต่องาน
แต่เมื่อกำลังหลักในการพัฒนาธุรกิจในยุคนี้ก็คือคน Gen Y เพราะเป็น Generation ที่เกิดมาพร้อมกับเทคโนโลยีและเครื่องไม้เครื่องมือที่ตอบโจทย์การทำงานในยุคนี้มากที่สุด
เจ้าของธุรกิจหรือนายจ้างที่ต้องการให้คน Gen Y เข้ามาเป็นแรงขับเคลื่อนธุรกิจ ก็ต้องเรียนรู้พฤติกรรมการทำงานและทำความเข้าใจพื้นฐานของลักษณะนิสัยของคน Gen Y เพื่อให้คน Gen Y ได้สร้างสรรค์งานได้อย่างเต็มศักยภาพและเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างเข้าใจของพนักงานทุกๆ Generation และนี่คือ 10 ความในใจจากพนักงาน Gen Y ที่อยากบอกให้นายจ้างรู้เพื่อความสุขในการทำงานและเพื่อความก้าวหน้าขององค์กร
1. Gen Y มีความอดทนไม่แพ้ใคร
มีคำวิจารณ์มากมายบอกว่า คน Gen Y เปลี่ยนงานบ่อย ทำงานได้ไม่อดทน เจอแรงกดดันนิดหน่อยก็ลาออกแล้ว ทำให้หลายๆคนมองว่า Gen Y ส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้นจริงๆแต่ใครจะรู้ได้ว่าแท้จริงแล้วทำไม Gen Y ถึงไม่อดทนต่องานเหล่านั้น ซึ่งหากลองมองในมุมคน Gen Y แล้วตั้งคำถามขึ้นมาว่า “แล้วทำไมต้องทน” และเป็นเรื่องปกติมากอยู่แล้วไม่ใช่เพียงแต่ Gen Y ที่จะคิด แต่ทุกคนคงคิดไม่ต่างกันว่าทำไมต้องทน ในเมื่ออาจจะมีทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า หรืออยู่ที่อื่นอาจสบายใจกว่า และไม่ได้มีภาระอะไรที่ทำให้การลาออกเป็นเรื่องยาก อันที่จริงแล้วคนเราก็มีความอดทนได้ไม่แตกต่างกัน แต่ในความอดทนนั้นมีปัจจัยที่ส่งผลต่อความอดทนที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น Gen Y ไม่ใช่คนที่ไม่อดทน แต่ต้องมองให้เห็นถึงปัจจัยว่าทำไมคน Gen Y เลือกที่จะไม่ทนจะดีกว่า สำหรับนายจ้างที่ยังอยากให้คน Gen Y ที่เก่งๆถูกใจยังอยู่ในองค์กร ควรเรียนรู้และศึกษาให้เห็นถึงปัจจัยที่ทำให้พนักงานรู้สึกไม่อยากอดทนทำงานอีกต่อไป และคิดหาวิธีสร้างแรงจูงในการอยากทำงานต่อ เช่น ซื้อใจด้วยความสนิทสนม เพิ่มเงินเดือนหรือโบนัส ซึ่งแต่ละวิธีก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยที่ทำให้พนักงาน Gen Y อยากลาออกด้วย
2. ลองเป็นไอดอลแทนการเป็นเจ้านายดูสิ
ต้องยอมรับว่านี่อาจเป็นนิสัยเสียอย่างหนึ่งของคน Gen Y คือการไม่ชอบการบังคับ ไม่ชอบการเตือนซ้ำๆจุกจิก และอดทนกับสิ่งเหล่านี้ได้น้อย การที่เจ้าของธุรกิจทำตัวเป็นเจ้านายของพวกเขา คือการใช้อำนาจสั่งการอย่างเดียวหรือตักเตือนพวกเขาซ้ำๆ ในความผิดครั้งเดียว เป็นสิ่งที่จะทำให้คน Gen Y ไม่อยากที่จะทำงานและลาออกไปในที่สุด หรือที่แย่กว่านั้นคือยังทำงานอยู่แต่ทำแบบผ่านๆไปในแต่ละวัน สิ่งที่คน Gen Y อยากเห็นจากนายจ้างคือ “การทำให้ดู” เพราะเชื่อหรือไม่ว่าคน Gen Y นั้นจะทำการสังเกตการทำงานของผู้นำอยู่ตลอดเวลาเพื่อเรียนรู้การทำงานจากคนๆนั้น ซึ่งถ้าผู้นำคนนั้นสามารถทำให้พวกเขาประทับใจทั้งในทัศนคติและความสามารถในการทำงานได้ คน Gen Y จะมองผู้นำคนนั้นเป็นไอดอล และทำตามแบบไอดอลของพวกเขาเพื่อจะได้เป็นคนเจ๋งๆบ้าง ดังนั้นหากนายจ้างอยากให้พนักงาน Gen Y ทำอะไร ง่ายๆก็แค่ทำให้ดูและคอยแนะนำพวกเขาให้เป็นไปแบบที่คุณต้องการก็พอ
3. ทำงานเป็นทีมสนุกกว่านะ
จากการที่วัยทำงานเริ่มผลัดเปลี่ยนจากคน Gen X มาเป็นคน Gen Y ทำให้รูปแบบการทำงานแบบเดิมอาจไม่ตอบโจทย์คน Gen Y สักเท่าไร เพราะโดยพื้นฐานคน Gen X จะเป็นคนประเภท One man show คือทำงานแบบลุยเดี่ยวเสียมากกว่า ซึ่งเหตุผลอาจเพราะมีความสามารถที่หลากหลายในตัวคนเดียว หรืออาจอยากตัดปัญหาการขัดแย้งกันหากต้องทำงานเป็นทีม และลักษณะการทำงานแบบนี้ก็ต่างจากการทำงานของคน Gen Y อย่างมาก เพราะสำหรับคน Gen Y จะชอบการทำงานเป็นทีมมากกว่า ไม่ใช่ว่าคน Gen Y จะไม่เก่งหลายอย่าง แต่การรับผิดชอบงานเดียวกันแล้วแบ่งกันไปทำคนละส่วน จะได้ส่วนที่มีประสิทธิภาพทุกส่วนและมารวมกันเป็นงานที่ได้คุณภาพมากขึ้น และโดยพื้นฐานคน Gen Y จะชอบการติดต่อสื่อสาร การทำงานเป็นทีมจึงทำให้พวกเขาได้ติดต่อสื่อสารกันและรู้สึกตื่นเต้นกับการทำงาน ได้พบปะผู้คนแลกเปลี่ยนความคิดเห็น ในการแก้ปัญหาความต่างของ Generation นายจ้างก็ควรแบ่งงานให้ถูกตามรูปแบบการทำงานของแต่ละ Generation และเปิดโอกาสให้ได้พูดคุยกันแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันเพื่อให้รู้และเข้าใจกันและกัน
4. ทำอะไรเดิมๆมันน่าเบื่อเกินไปแล้วนะ
การทำงานเดิมจนเป็นมืออาชีพเป็นเรื่องดี แต่ถ้าต้องได้ทำแต่งานนั้นซ้ำๆ ไม่ใช่สิ่งที่ดีสำหรับ Gen Y นัก เพราะ Gen Y ชอบทำอะไรที่ท้าทายและสามารถทำงานหลายๆอย่างได้พร้อมกัน การที่ต้องทำอะไรเดิมๆซ้ำๆจึงเป็นเรื่องน่าเบื่อและเป็นเหตุที่ทำให้คน Gen Y ไม่อยากทำงานนั้นต่อ ลองให้โอกาส Gen Y ได้ทำงานใหม่ๆบ้าง หรืออย่างน้อยที่สุดอาจให้ทำงานเดิม แต่ลองพัฒนารูปแบบในการนำเสนองานเดิมแบบใหม่ ควรตั้งโจทย์ในการทำงานให้ยากขึ้นเพื่อความท้าทาย แต่ก็ต้องเหมาะสมกับศักยภาพที่มีอยู่ของพนักงานด้วย
5. เลือกจากงานที่ชอบไม่ใช่ชื่อเสียงองค์กร
สำหรับคน Gen Y แล้วพวกเขาจะมี Passion ให้กับงานที่พวกเขารัก มีความมุ่งมั่นที่จะทำงานที่มีคุณภาพและมีความต้องการที่จะเรียนรู้สิ่งที่จะทำให้พวกเขาเก่งขึ้นด้วย จะค่อนข้างมีความต่างจาก Generation ก่อนๆที่เลือกทำงานกับองค์กรที่มีชื่อเสียงและมีความมั่นคงโดยอาจจะไม่ได้ตรงตามความชอบ ซึ่งคน Gen Y จะเลือกทำงานที่ตรงตามความชอบโดยไม่ได้ยึดเรื่องชื่อเสียงขององค์กรเป็นหลัก ดังนั้นหากองค์กรต้องการพนักงาน Gen Y ที่ทุ่มเทให้กับงาน ก็ควรเลือกคนที่มีความชอบตรงกับรูปแบบของธุรกิจ และให้พนักงาน Gen Y ได้ทำในสิ่งที่เขาชื่นชอบและมีความถนัดจึงจะได้ประโยชน์ทั้งตัวพนักงานเองและความก้าวหน้าขององค์กรด้วย
6. อยากให้อยู่กันแบบครอบครัว
การทำงานที่เครียดอยู่แล้ว ยังต้องมาเจอสังคมในที่ทำงานที่เย็นชาอีก ชีวิตการทำงานนี้จะมีอะไรดีบ้างไหมเนี่ย และยิ่งกับ Gen Y ที่ไม่ชอบความอึดอัดใจ คงไม่อดทนที่จะทำงานต่อและลาออกไปในที่สุด
นายจ้างหรือเจ้าของธุรกิจควรปรับด้วยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ทุกรุ่นทุกช่วงวัยมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกัน ได้ร่วมงานได้ช่วยเหลือกันให้มีความสนิทสนมกันมากขึ้นเพื่อลดเรื่องระบบอาวุโส และเคารพกันด้วยใจจริงเหมือนคนในครอบครัว หรือแสดงความห่วงใยให้เขารู้ว่าคุณเป็นห่วงพวกเขา ไม่ใช่ห่วงแค่งานที่พวกเขารับผิดชอบอยู่เท่านั้น ไม่ว่าใครที่ได้รับการให้ความสำคัญแบบนี้ ก็ต้องรู้สึกดีและอยากทำงานตอบแทนให้ดีที่สุดอย่างแน่นอน
7. อยากให้มีความยืดหยุ่นบ้าง
สำหรับการอยู่ร่วมกันของคนหลายคนและยิ่งมีความหลากหลาย Generation การมีกฎเกณฑ์ที่ต้องปฏิบัติร่วมกันเป็นเรื่องดี แต่หากเข้มงวดเกินไปทั้งๆที่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับงาน เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คน Gen Y อาจไม่ค่อยชอบใจนัก เพราะโดยพื้นฐาน Gen Y จะค่อนข้างมีความคิดเป็นของตัวเองและไม่ชอบที่จะถูกบังคับมากนัก ทำให้การเข้มงวดเกินไปอาจะส่งผลทั้งต่อผลงาน และความอยากทำงานของคน Gen Y ด้วย เดี๋ยวนี้มีนายจ้างในหลายองค์กรที่เริ่มเข้าใจว่าพนักงานเริ่มเปลี่ยนเป็น Gen Y ทำให้กฎเกณฑ์ต่างๆในองค์กรมีความยืดหยุ่นมากขึ้นมุ่งเน้นไปที่ผลลัพธ์ของงานมากกว่า และให้อิสระทางความคิดอิสระในระหว่างการทำงานโดยไม่ยึดติดกับแบบแผนขั้นตอนการทำงานมากนัก ผลลัพธ์ของงานก็จะออกมาดีและพนักงานก็แฮปปี้กับการทำงาน
8. บอกหน่อยว่าเราต้องทำอะไรกันแน่
เป็นอีกเรื่องที่คน Gen Y อยากรู้ที่สุดจากนายจ้างคือ หน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบคืออะไรกันแน่ เพราะการเลือกทำงานของคน Gen Y จะเลือกทำงานที่พวกเชาชื่นชอบและตรงตามความฝันที่วาดไว้ในอนาคต ถ้าเริ่มทำงานไปแล้วได้ทำงานไม่ตรงตามที่ตกลงกันไว้แต่แรก คน Gen Y จะเริ่มรู้สึกว่าไม่เห็นโอกาสที่จะได้ก้าวหน้าในเส้นทางที่อยากไป ก็ทำให้พวกเขาไม่อยากทำงานต่อได้ คนเป็นนายจ้างควรที่จะมอบหมายหน้าที่ให้ชัดเจนตามที่ได้ตกลงกันไว้ในตอนต้น และให้พนักงานได้ทำงานในแบบที่เขาชื่นชอบและได้แสดงความสามารถอย่างเต็มที่ และมีโอกาสได้ก้าวหน้าในสายอาชีพ
9. ทำงานหนักเกินไปใช่ว่าจะดี
เป็นปกติที่นายจ้างก็อยากให้พนักงานทำงานอย่างคุ้มค่าจ้าง เลยพยายามที่จะให้พนักงานทำงานได้จำนวนมากที่สุด จนอาจจะเป็นการทำงานที่หนักเกินไป แต่การทำงานหนักมากทำให้งานดีจริงๆ หรอ คงไม่ใช่สำหรับ Gen Y แน่ นอกเสียจากว่างานนั้นเป็นเรื่องท้าทายสำหรับคน Gen Y และเป็นงานแบบที่พวกเขาชอบจริง เพราะด้วยความที่ Gen Y สามารถทำงานได้หลายๆ อย่างพร้อมกัน นั่นก็เหมือนว่าพวกเขาทำงานไปเยอะแล้ว ถ้าได้ทำงานเพิ่มก็เท่ากับว่าพวกเขาจะได้ทำงานเยอะกว่าเดิมมากขึ้นอีก และแน่นอนว่าต้องเกิดความเหนื่อยล้า ผลงานที่ออกมาก็จะไม่ได้ประสิทธิภาพ และคงไม่มีใครชอบการทำงานหนักเกินไป สิ่งที่นายจ้างควรทำก็คือให้พนักงานทำงานอย่างเหมาะสม และเลือกงานให้เหมาะสมกับพนักงาน และยิ่งกับ Gen Y ถ้าเป็นงานที่พวกเขาชอบและได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ล่ะก็ เชื่อได้เลยว่าพวกเขาทำแบบถวายชีวิตแน่นอน
10. เชื่อสิว่าเราทำได้
ความไม่วางใจหรือไม่กล้าให้คนรุ่นใหม่รับผิดชอบงานใหญ่ของคนรุ่นเก่า เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คน Gen Y รู้สึกเบื่อและรู้สึกว่าตัวเองคงไม่มีโอกาสได้แสดงฝีมือ หรือไม่มีโอกาสที่จะได้เจริญก้าวหน้าในสายอาชีพ ซึ่งหากมีทางเลือกใหม่ที่ดีกว่า คน Gen Y ก็คงพร้อมเปลี่ยนไปทำงานที่ได้มีโอกาสแสดงศักยภาพตัวเองอย่างเต็มที่ และมีโอกาสได้ก้าวหน้ามากกว่า สำหรับนายจ้างที่รู้สึกเสียดายพนักงาน Gen Y ที่ทำงานเก่งๆ สิ่งที่ควรทำคือให้โอกาสพวกเขาได้พิสูจน์ตัวเองลองให้ทำงานที่พวกเขาเห็นว่าจะมีโอกาสได้แสดงฝีมืออย่างเต็มที่ แต่หากไม่ได้พอใจกับพนักงาน Gen Y สักเท่าไรก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจและเลือกว่าจะจัดการอย่างไร อันที่จริงแล้วความต่างของแต่ละ Generation เป็นสิ่งที่ทำให้เศรษฐกิจมีการพัฒนา แต่สิ่งที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันในแต่ละ Generation ส่วนมากมาจากการไม่ยอมรับความแตกต่างของกันและกัน และในจำนวนคน Gen Y เองก็ใช่ว่าจะมีความคิดตามแบบนี้กันทุกคนเสมอไป เพราะถ้าไม่นับเรื่อง Generation ทุกๆคนในสังคมก็ล้วนมีความแตกต่างมีความเป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่จะทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันและทำงานร่วมกันได้คือ ยอมรับในความแตกต่างของทุกๆคน และใช้ความสามารถเฉพาะตัวที่มีอยู่ร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจให้ดียิ่งขึ้น
Lom Hai Jai ขอเป็นกำลังใจให้ทุก Generation เข้าใจและยอมรับกันและกันเพื่อการทำงานร่วมกันอย่างมีความสุข